พญ.ลลิตา ธีระสิริ
เอนไซม์ (enzyme) ก็คือโปรตีนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ทั้งในพืชและสัตว์ มันมีหน้าที่กระตุ้นการทำงานของกระบวนการเคมีในร่างกายให้ทำงานรวดเร็วขึ้น เอนไซม์แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ:
1. เอนไซม์ที่ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน (metabolic enzyme) เอนไซม์ชนิดนี้อยู่ในเลือด เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ เช่นในวงจรเคมีที่เรียกว่า วงจรเครป (Kreb's cycle) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานในเซลล์ของคนเรา ปฏิกิริยาเครปก็ต้องอาศัยเอนไซม์หลายตัว กระตุ้นให้วงจรเคมีดำเนินไปได้ และเกิดเป็นพลังงานให้เซลล์ของเรา ในเซลล์ร่างกายของเรายังมีเอนไซม์อีกบางจำพวก เอาไว้สลายสารเสียที่เซลล์ไม่ต้องการ เช่น เอนไซม์ SOD ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
2. เอนไซม์ในอาหาร (food enzyme) เอนไซม์ชนิดนี้มีอยู่ในอาหารสด ในเซลล์สัตว์และเซลล์พืช เอนไซม์เหล่านี้บรรจุอยู่ในถุงเรียกว่าไลโซโซม (lysosome) เมื่อถุงของมันแตกออกก็จะย่อยสลายสารอาหารให้กลายเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ เพื่อจะได้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้ง่ายขึ้น
3. เอนไซม์ย่อยอาหาร (digestive enzyme) เอนไซม์ชนิดนี้อยู่ในระบบทางเดินอาหารของคนและสัตว์ มันหลั่งออกมาจากเยื่อเมือกบุกระเพาะลำไส้ จากตับและตับอ่อน ทำหน้าที่ย่อยอาหารจากโมเลกุลใหญ่ให้เล็กลง ทำให้ถูกดูดซึมได้
ขาดเอนไซม์ทำให้ร่างกายเกิดโรค
ตั้งแต่ ปี 1968 เป็นต้นมานักวิจัยด้านชีวเคมีได้สรุปว่า มีเอนไซม์มากกว่า 1,300 ชนิดที่เกี่ยวข้องในร่างกายของเรา และการพร่องเอนไซม์ก่อให้เกิดโรคหลายชนิด แบ่งได้เป็น 5 กลุ่มดังนี้คือ
1. โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร การย่อยอาหารในระบบทางเดินอาหารตั้งแต่ในปาก กระเพาะ และลำไส้เล็กล้วนแล้วแต่อาศัยเอนไซม์ช่วยย่อยทั้งสิ้น หากพร่องเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร เราจะมีอาการท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย แน่นน้อง ท้องผูก ท้องผูกสลับท้องเสีย ทุกวันนี้เรามีเอนไซม์ช่วยย่อยใช้ในการบำบัดอาการที่กล่าวมา เช่น สารสะกัดจากตับอ่อน ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยที่หมอตามโรงพยาบาลและคลินิกจ่ายให้กับผู้ป่วย
แนวคิด ใหม่คือ หากเรากินผักสด ผลไม้สด อาหารสด ในอาหารสดมีเอนไซม์อยู่แล้ว เอนไซม์นี้จะช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไปด้วย เป็นการผ่อนภาระการย่อยของตับอ่อน อาการอาหารไม่ย่อยก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าใครกินแต่ของสุกทุกมื้อ ทุกวัน เอนไซม์จะหายไปกับความร้อนที่ใช้ปรุงอาหาร ตับอ่อนของคุณก็จะต้องผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารออกมามากกว่าจึงจะย่อยอาหารได้ ดังนั้นคนกินอาหารสุกตลอดก็จะเสี่ยงต่อภาวะอาหารไม่ย่อยมากกว่าคนที่กินผัก สดและผลไม้สดเป็นประจำ
ในมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสต์เทิร์นมีงานวิจัย เกี่ยวกับเอนไซม์อะไมเลสในกล้าข้าว บาร์เลย์สดว่าสามารถย่อยแป้งในกระเพาะอาหาร และในลำไส้เล็ก แสดงว่าหากเรากินผักสดและผลไม้สดที่มีเอนไซม์ในตัวมันเองอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งของอาหารในกระเพาะ เช่น แป้ง จะถูกเอนไซม์ในอาหารสดย่อยไปขั้นหนึ่งก่อนที่อาหารจะผ่านไปถึงลำไส้เล็กแล้ว รับเอาเอนไซม์จากตับอ่อนที่หลั่งออกมาย่อยอาหารนั้น ๆ ต่อไป นับว่าการกินอาหารสดจะช่วยผ่อนเบาการทำงานของตับอ่อนไปได้มาก
2. โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน ภูมิคุ้มกันส่วนหนึ่งประกอบไปด้วยเม็ดเลือดขาวหลายชนิด เม็ดเลือดขาวเหล่านี้มีหน้าที่คอยทำลายสิ่งแปลกปลอม แบคทีเรีย ไวรัส และโปรตีนแปลกปลอมที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เม็ดเลือดขาวจะกลืนกินสิ่งเหล่านี้เข้าไป แล้วอาศัยเอนไซม์ในตัวของมัน มีอะไมเลส ไลเปส และโปรตีเอสเป็นต้น กำจัดสารพิษเหล่านี้ทิ้งอีกทอดหนึ่ง หากร่างกายขาดเอนไซม์ เม็ดเลือดขาวจะไม่สามารถกำจัดโปรตีนแปลกปลอมทิ้งก็จะเกิดอาการของโรคภูมิแพ้ และหากเม็ดเลือดขาวกลืนกินแบคทีเรียและไวรัสเข้าไปโดยไม่มีเอนไซม์ไปกำจัด เชื้อโรคทิ้ง ภูมิต้านทานก็จะอ่อนแอลง คนคนนั้นก็จะป่วยง่าย
แนวคิด ใหม่ก็คือ หากเรากินอาหารสดที่มีเอนไซม์ มันจะย่อยโปรตีนแปลกปลอมก่อนที่จะเข้าสู่ร่างกาย จึงสามารถลดอาการของภูมิแพ้ลง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือภูมิต้านทานไม่แข็งแรงจะต้องกินผักสดและผล ไม้สดปริมาณมากพอเป็นประจำทุกวัน
3. โรคอ้วน คนที่อ้วนมาก ๆ มักขาดเอนไซม์ไลเปส ถ้าไม่มีเอนไซม์ตัวนี้ไขมันก็จะพอกพูนตามผิวหนังทำให้อ้วนขึ้น แนวคิดใหม่ก็คือ หากเรากินผักสดและผลไม้สดเพิ่มมากขึ้น ด้านหนึ่งร่างกายจะไม่ขาดเอนไซม์ทำให้ไขมันไม่ไปพอกพูนตามผิวหนัง และอีกด้านหนึ่งผักสดและผลไม้สดมีแคลอรี่ต่ำ ทำให้ไม่อ้วน
สภาพเมื่อขาดเอนไซม์
สภาพของร่างกายเมื่อมีการขาดเอนไซม์เกิดขึ้น (Enzyme Deficiency Conditions)
อาการที่แสดงว่าร่างกายขาดเอนไซม์ (Enzyme Deficiency)
อาการที่ท่านรู้สึกด้วยตัวเอง (Symptom)ว่าท่านน่าจะขาดเอนไซม์ คือ
- รู้สึกเหนื่อยหลังจากกินอาหารมื้อหนัก
- อ่อนเพลียเป็นประจำ (Chronic Fatigue Syndrome)
- ท้องผูก
- ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ บางครั้งมีอาการจุกเสียด
- ลมแน่นท้อง ผายลมมีกลิ่นเหม็น
- อุจจาระจมน้ำ และอุจจาระเหม็นมาก
- มีกลิ่นปาก
- มีอาการของโรคภูมิแพ้ง่าย บางครั้งถึงขนาดหอบหืด
- เวลาเป็นแผลจะหายช้า
- น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย
- ตับอ่อนบวม
- เม็ดโลหิตขาวเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติหลังกินอาหาร 30 นาที
- น้ำลายมีฤทธิ์เป็นกรด (pH ต่ำกว่า 7)
- ใน ปัสสาวะมีสารพิษมาก เกิดจากอาหารไม่ย่อยจึงบูดในลำไส้ใหญ่ ร่างกายจะดูดซึมพร้อมกับน้ำเข้าไปในกระแสเลือด ตับและไตจะกรองสารพิษเอาไว้ และจะขับสารพิษนี้ทิ้งออกทางปัสสาวะ
- ระดับเอนไซม์ต่ำกว่าปกติในเลือด
- ความดันโลหิตอาจสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย
- สภาพของการขาดเอนไซม์โปรตีเอส (ProteaseDeficiency Conditions)
- สภาพการขาดเอนไซม์อไมเลส (Amylase Deficiency Conditions
- สภาพการขาดเอนไซม์ไลเปส (Lipase Deficiency Conditions)
ร่างกาย จะไม่สามารถย่อยโปรตีนให้มาเป็นสารอาหารชนิดกรดอะมิโน จึงเกิดอาการของโรคขาดโปรตีน (Protein Deficiency Symptom) มีความเป็นด่างสูงมากเกินไปในเลือด อาจมากกว่า pH 8.0 (Alkaline Excess) ซึ่งปกติมีค่า pH 7.4 การที่ร่างกายขาดความสมดุล (Homeostasis) เพราะด่างสูง กลายเป็นต้นเหตุของความรู้สึกกระวนกระวาย (Anxiety) จนบางคนต้องใช้ยากล่อมประสาทช่วย ดังนั้นควรให้กินเอนไซม์เสริมชนิดโปรตีเอส ก็จะช่วยให้ดีขึ้น ถ้าโปรตีนมีจำนวนต่ำในเลือด (Protein Deficiency) ทำให้เกิดอาการขาดแคลนแคลเซียมร่วมด้วย (Calcium Deficiency) แคลเซียมจะต้องอาศัยเกาะติดโปรตีนเมื่อเวลาไหลเวียนอยู่ในกระแสโลหิต ทำให้มีอาการข้ออักเสบ (Arthritis) ตามมาพร้อมโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) หมอนรองกระดูกเสื่อม (Degenerative Disc Problem) ฯลฯ ร้อยละ 45 ของโปรตีนในรูปของกรดอะมิโนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในตับ การที่โปรตีนไม่สามารถถูกย่อยได้จึงทำให้เกิดสภาวะน้ำตาลกลูโคสต่ำในเลือด (Hypoglycemia) ตามมา เป็นเหตุให้สมองขาดน้ำตาลกลูโคส เกิดความรู้สึกหงุดหงิด (Moody) รำคาญ และฉุนเฉียวง่าย
การขาดเอนไซม์โปรตีเอสก่อให้เกิดโรคขาดสารอาหารประเภทโปรตีน
การ ขาดโปรตีนในเลือดทำให้เกิดอาการบวมทั้งตัว (Edema) การย่อยโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้มีกากอาหารที่ไม่ย่อย (Undigested Protien) ไปสะสมบริเวณลำไส้ใหญ่ (Colon) เป็นสาเหตุการเกิดสารพาลำไส้ใหญ่อักเสบ (Mucous Colitis) ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) และอาจถึงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) ได้ โรคตามมาที่คาดไม่ถึงคือ ในเด็กมักเป็นโรคช่องหูอักเสบเรื้อรัง หรือ หูน้ำหนวก (Otitis Media) กับโพรงจมูกของใบหน้าอักเสบ (Sinusitis) การรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะและใช้เอนไซม์โปรตีเอสร่วมด้วยจะทำให้หายเร็วขึ้น
ผล ของการขาดโปรตีเอสที่กระทบโดยตรง อีกประการก็คือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดการอักเสบได้ง่าย เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหลายเป็นโปรตีนหรือบางชนิดก็มีโปรตีนเป็นตัว หุ้ม และโปรตีเอสเป็นเอนไซม์ที่สามารถย่อยเยื่อหุ้มที่เป็นโปรตีนให้แตกออกเพื่อ ให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายเข้าถึงตัวและทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้โดยง่าย
สภาพการขาดเอนไซม์อไมเลส (Amylase Deficiency Conditions)
เอน ไซม์อไมเลสย่อย แป้ง ข้าว ให้เป็นสารประกอบเชิงเดี่ยว (Monosaccharide) เช่น น้ำตาลกลูโคส (Glucose) และย่อยเม็ดโลหิตขาวที่ตาย (คือ หนอง Pus)ให้หมด ไปดังนั้นถ้าร่างกายขาดเอนไซม์อไมเลส ท่านจะเกิดเป็นฝี (Abscess) ได้บ่อยๆ ผู้ป่วยที่ปวดฟัน เหงือกรอบฟันเป็นหนองง่ายมาก การที่กินหวานจัดๆ ร่างกายต้องใช้เอนไซม์อไมเลสมากจนผลิตไม่ทัน จึงทำให้เป็นฝีง่าย นอกจากนั้นยังเป็นที่ปอดและผิวหนังได้ง่ายอีกด้วย
ปอด และผิวหนังเป็นอวัยวะที่สัมผัสกับโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยมลภาวะการขาดเอน ไซม์อไมเลสจึงทำให้เกิดอักเสบได้ง่าย ถ้าเป็นที่ปอดอาจจะแสดงอาการของโรคหืด (Asthma) และถุงลมพอง (Emphysema) ส่วนผิวหนังจะมีอาการของโรคผิวหนังเป็นสะเก็ดพุพอง มีน้ำเหลือง (Eczema) หรือเป็นโรคผิวหนังชื่อ สะเก็ดเงิน (Psoriasis) และโรคเริม (Herpes)การรักษาให้ใช้เอนไซม์เสริมเพื่อกินร่วมกับยา โดยให้มีเอนไซม์อไมเลสในสัดส่วนที่มากกว่าเอนไซม์อย่างอื่น
สภาพการขาดเอนไซม์ไลเปส (Lipase Deficiency Conditions)
เอน ไซม์ไลเปสมีหน้าที่ย่อยไขมันและวิตามินชนิดละลายในไขมัน การขาดไลเปสจึงเกิดโคเลสเตอรอลสูงในเลือด(High Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์สูง (High Triglyceride) เป็นต้นเหตุของน้ำหนักตัวเกินกว่าปกติ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (Atherosclerosis) ความดันโลหิตสูง ตามมาด้วยโรคหัวใจขาดเลือด(Heart Inflection) โรคลมปัจจุบันหรือสมองขาดเลือด (Stroke)
การขาดเอนไซม์ไลเปส ทำให้ความสามารถของเยื่อหุ้มเซลล์บกพร่องนั้นคือ สารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายไม่อาจจะซึมผ่านเข้าเซลล์ ส่วนของเสียภายในเซลล์ก็ขับออกมาทิ้งข้างนอกไม่ได้
สำหรับอาการที่พบ บ่อยๆอีกอย่างคือ กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง (Muscle Spasm) โดยเริ่มเจ็บร้าวจากบริเวณหน้าอก ไหล่ ลามมาที่คอ ดูคล้ายๆ คอเคล็ด บางครั้งมีกล้ามเนื้อเกร็งที่ลำไส้ใหญ่ (Spastic Colon) อาการต่างๆ ทั้งหมดนี้ ถ้ากินเอนไซม์ไลเปสก็จะช่วยให้ทุเลาขึ้น